วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2551

วิตามินซี
















ประโยชน์ของ วิตามินซี

เราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี

มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล

เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น

นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ

วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้

วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน

หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว

เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง

ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรคต้อกระจก ลดลงถึง 77%

บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น

ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น

ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10

ขนาดที่รับประทาน
ในสภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม

หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัลว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม

ข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด

เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี

เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน

สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด

การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน

การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน

ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา

ข้อควรระวัง

การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium

การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้

วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน

ภาวะการขาดวิตามินทั้ง 2 ชนิดเกิดขึ้น เนื่องจาก
ร่างกายสูญเสียวิตามินบีรวมและวิตามินซีไปใน
แต่ละวันโดยการขับออกจากร่างกายทางเหงื่อและ
ปัสสาวะ ดังนั้นในแต่ละวัน ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ
วิตามินบีรวมและวิตามินซีจากธรรมชาติในปริมาณ
พอเหมาะและสม่ำเสมอ




ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ
เกี่ยวกับผลไม้เมืองร้อนทั้ง 5 ชนิด

อะเซโรลา เชอร์รี

ข้อมูลวิจัยล่าสุดจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
ของอะเซโรลา เชอร์รี พบว่า...


วิตามินซีจากผงอะเซโรลา เชอร์รี สามารถเอื้อ
ประโยชน์ต่อร่างกายได้มากกว่าวิตามินซีที่ได้จากการ
สังเคราะห์

ในเด็กทารก หลังจากรับประทานวิตามินซีจาก
อะเซโรลา เชอร์รี ผสมกับน้ำแอปเปิ้ล พบว่าเด็กทารก
มีอัตราการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย
เมื่อเทียบตามอายุและน้ำหนักสูงกว่ามาตรฐานเด็กทารก
ในวัยเดียวกัน

ในผู้ใหญ่สูงอายุที่มีกิจกรรมปกติพบว่า หลังจาก
การรับประทานอะเซโรลา เชอร์รี แล้วเจาะเลือดจะมี
ระดับของเม็ดเลือดขาวจำพวกลิวโคไซท์เพิ่มขึ้น
ในเลือด ดังนั้น การรับประทานอะเซโรลา เชอร์รี
จึงมีความสัมพันธ์กับการเสริมภูมิต้านทานในผู้สูงอายุ
อย่างมีนัยสำคัญ

อะเซโรลา เชอร์รี ต้านเชื้อราได้ เนื่องจากในผล
อะเซโรลา เชอร์รี ให้สารออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบ
โตของเชื้อราจำพวก Epidermephyton
floccosum, Microsporum canis และ
Trichophyton rubrum

ในผู้ใหญ่สูงอายุที่มีกิจกรรมปกติพบว่า หลังจาก
การรับประทานอะเซโรลา เชอร์รี แล้วเจาะเลือดจะมี
ระดับของเม็ดเลือดขาวจำพวกลิวโคไซท์เพิ่มขึ้น
ในเลือด ดังนั้น การรับประทานอะเซโรลา เชอร์รี
จึงมีความสัมพันธ์กับการเสริมภูมิต้านทานในผู้สูงอายุ
อย่างมีนัยสำคัญ

อะเซโรลา เชอร์รี ต้านเชื้อราได้ เนื่องจากในผล
อะเซโรลา เชอร์รี ให้สารออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบ
โตของเชื้อราจำพวก Epidermephyton
floccosum, Microsporum canis และ
Trichophyton rubrum


ฝรั่ง

ข้อมูลวิจัยล่าสุดจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
ของฝรั่ง พบว่า...


ผลฝรั่งให้ใยอาหารประเภทละลายไขมันสูง จึง
สามารถลดแรงดันหัวใจค่าบนเมื่อหัวใจบีบตัว และแรง
ดันหัวใจค่าล่างเมื่อหัวใจคลายตัว เพื่อนำเลือดที่ใช้แล้ว
กลับเข้าสู่หัวใจเพื่อส่งต่อไปยังปอดอีกทอดหนึ่งให้ลด
ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ คือ ลดลง 9 มิลลิเมตรปรอท
เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่รับประทานอาหารตามปกติ
สามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดได้ถึง 9.9%
ไตรกลีเซอไรด์ 7.7% โดยเพิ่มค่าไขมันชนิดดี คือ
HDL สูงขึ้น 8%
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย(Antibacterial activity)
สารสกัดจากผลฝรั่งสามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย อันเป็น
สาเหตุของโรคไทฟอยด์ได้โดยฤทธิ์ของสารแทนนิน
ในฝรั่ง
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด (Antihypoglycemic
activity) เมื่อฉีดน้ำคั้นจากฝรั่งเข้าช่องท้องของหนูที่
เป็นเบาหวาน ในขนาด1.0 กรัม/กก. สามารถลดน้ำตาล
ในเลือดและให้ผลเช่นเดียวกันในคนไข้เบาหวาน

ผลมะม่วงหิมพานต์

ข้อมูลวิจัยล่าสุดจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
ของผลมะม่วงหิมพานต์ พบว่า

ผลมะม่วงหิมพานต์ให้สารสกัดที่ต่อต้านการเจริญ
ของเนื้องอก โดยในผลมะม่วงหิมพานต์จะมีสารอะนา
คาร์ดิค แอซิด (Anacardic Acid) ซึ่งพบว่า
สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็ง
เต้านมได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในผลมะม่วงหิมพานต์สามารถให้สารคาร์ดอลซึ่ง
ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งใน
ปากช่องคลอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สาร
คาร์ดอลที่มีอยู่ในผลมะม่วงหิมพานต์ยังออกฤทธิ์ต่อ
ต้านเชื้อจุลินทรีย์ และสามารถต่อต้านพยาธิได้ทุกชนิด
ผลมะม่วงหิมพานต์ให้สารประกอบจำพวกฟีนอล
ที่สามารถยับยั้งเอ็นไซม์ไทไรซิเนสที่เป็นสาเหตุของ
การเกิดเม็ดสีคล้ำใต้ผิวหนัง รวมทั้งเป็นสาเหตุของ
การเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยหมองคล้ำใต้
ผิวหนังอีกด้วย


แพชชั่นฟรุ้ต

ข้อมูลวิจัยล่าสุดจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
แพชชั่นฟรุ้ต หรือเสาวรส (Passion Fruit) พบว่า...

สารสกัดจากผลของเสาวรสเมื่อรับประทานแล้วจะรู้สึก
เย็นชุ่มคอ และให้ไอระเหยที่ให้ความรู้สึกโล่งในระบบ
ทางเดินหายใจ และมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ




สับปะรด

ข้อมูลวิจัยล่าสุดจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
ของสับปะรด พบว่า...

สับปะรดให้สารสำคัญ คือ วิตามินซีสูงและเอ็นไซม์
ย่อยโปรตีนชื่อ บรอมมีลิน (bromelin) นอกจากนี้
สับปะรดยังให้คุณประโยชน์อื่นๆ คือ
ช่วยย่อยอาหารจำพวกโปรตีน จึงช่วยลดอาการ
แน่นท้อง
ป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
ลดอาการบวมอักเสบได้ โดยเอ็นไซม์บอรมมีลิน
ในสับปะรดช่วยลดอาการอักเสบและบวมที่เกิดจาก
การถูกกระแทก มีบาดแผล หรือแผลจากการผ่าตัด
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
ป้องกันมะเร็ง



ชนิดของวิตามิน

ปริมาณเฉลี่ยที่คนไทย
ต้องการต่อวัน

คุณประโยชน์หลัก

ผลของการขาดวิตามิน

แหล่งผลไม้ที่พบ

บี 1

1.5 มิลลิกรัม

ช่วยให้ระบบประสาทส่วนกลางในสมองและ
ปลายประสาทที่มือและเท้าทำหน้าที่ตามปกติ

เหน็บชา
ร่างกายอ่อนล้าง่าย

อะเซโรลา เชอร์รี
ฝรั่ง
สับปะรด

บี 2

1.7 มิลลิกรัม

ป้องกันภาวะโลหิตจาง

โรคปากนกกระจอก
โรคโลหิตจาง

อะเซโรลา เชอร์รี
ฝรั่ง
สับปะรด

บี 3

20 มิลลิกรัม NE*
(*NE หมายถึงNiacin Equivalence) หรือประมาณ 13 มิลลิกรัม

บำรุงผิวหนังและประสาท
ป้องกันอาการเมาค้างจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก
ลดอาการภูมิแพ้

ผิวหนังแตกหยาบกระด้าง
อ่อนเพลีย
ป้องกันภาวะหลอดเลือด
ตีบตัน

อะเซโรลา เชอร์รี
ฝรั่ง
สับปะรด

บี 5

6 มิลลิกรัม

ลดอาการเมื่อยล้า เสริมภูมิต้านทานต่อต้านการติดเชื้อ
ช่วยผลัดเปลี่ยนเซลล์ บำรุงผม ผิว เล็บ
ต่อต้านความเครียด
เพิ่มการสมานแผลและทดแทนการเกิดแผลเป็น

อ่อนล้า เครียด และ
เป็นหวัดง่าย
ผมแห้งกรอบ แตกปลาย
ผิวหยาบกร้าน
เล็บแตกหักง่าย
แผลหายช้า

อะเซโรลา เชอร์รี
อะโวคาโด
วอลนัท

บี 6

2 มิลลิกรัม

ลดอาการในภาวะที่มีประจำเดือน
เช่น อาการอารมณ์แปรเปลี่ยนง่าย ภาวะซึมเศร้า
ลดอาการเมื่อยล้าและเหนื่อยง่ายจากการทำงานหนัก
เสริมการทำงานของระบบประสาทส่วนปลาย

อารมณ์ปรวนแปร
ซึมเศร้า
อ่อนเพลียง่าย

อะเซโรลา เชอร์รี
กล้วย
มะม่วง

บี 12

2 ไมโครกรัม

ช่วยให้อารมณ์ดี
ป้องกันมิให้โลหิตจาง
บำรุงปลายประสาทในผู้ป่วยเบาหวานและคนปกติ

อารมณ์แปรปรวน
โรคโลหิตจาง
ปลายประสาทถูกทำลาย

พบมากในเนื้อสัตว์

กรดโฟลิก

200 ไมโครกรัม

สร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง

โลหิตจาง

อะโวคาโด

วิตามินซี

60 มิลลิกรัม

เสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจน
เสริมภูมิต้านทาน

เลือดออกตามไรฟัน
ผิวหนังหมองคล้ำ
เกิดริ้วรอย
เป็นหวัดง่าย

อะเซโรลา เชอร์รี
ฝรั่ง เสาวรส
สับปะรด
ผลมะม่วงหิมพานต์






http://www.healthdd.com/article/article_preview.php?id=42
http://www.nutrilite.co.th/nutrilite/healthinfo/9_2.jsp
http://www.nutrilite.co.th/nutrilite/healthinfo/9_3.jsp




ไม่มีความคิดเห็น: